Position:home  

หนูใหญ่ ไซส์เอส: เล็กพริกขี้หนู เอ้ยน้อยแต่มาก!

ในโลกแห่งการลงทุน เราคุ้นเคยกับวลี "ยิ่งใหญ่ยิ่งดี" แต่ในโลกของการลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิง เพราะบริษัทขนาดเล็กเหล่านี้มักถูกมองข้ามและไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่ผู้ที่มองข้ามอาจพลาดโอกาสอันยิ่งใหญ่ไป โดยปัจจุบันมีหุ้นขนาดเล็กจำนวนมากที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว และมีศักยภาพสูงที่จะสร้างผลตอบแทนที่น่าประทับใจให้กับนักลงทุน

ไซส์มินิแต่ไม่ธรรมดา

บริษัทขนาดเล็กในที่นี้หมายถึงบริษัทที่มีมูลค่าตามราคาตลาด (Market Cap) ต่ำกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 60,000 ล้านบาท โดยหุ้นขนาดเล็กเหล่านี้มักมีการเติบโตสูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวมากกว่า นอกจากนี้ ยังมีมูลค่าที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้นักลงทุนมีโอกาสเข้าถึงบริษัทที่กำลังเติบโตในราคาที่เข้าถึงได้

หนูใหญ่ ไซส์เอสน่ายวบ

ทำไมต้องลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก?

  1. ศักยภาพในการเติบโตสูง: หุ้นขนาดเล็กมักมีการเติบโตที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ เนื่องจากมีพื้นที่ในการเติบโตมากกว่า โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมใหม่หรือที่กำลังเติบโต
  2. ความยืดหยุ่น: บริษัทขนาดเล็กมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวมากกว่าบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
  3. มูลค่าที่ถูกกว่า: หุ้นขนาดเล็กมักมีมูลค่าที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทขนาดใหญ่ ทำให้นักลงทุนมีโอกาสเข้าถึงบริษัทที่กำลังเติบโตในราคาที่เข้าถึงได้
  4. โอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูง: หุ้นขนาดเล็กมีศักยภาพสูงที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ โดยเฉพาะในช่วงตลาดขาขึ้น

สถิติที่น่าสนใจ

  • หุ้นขนาดเล็กในสหรัฐอเมริกาสร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 12.6% ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา ขณะที่หุ้นขนาดใหญ่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเพียง 9.6%
  • ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นขนาดเล็กในตลาดเกิดใหม่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีที่ 15.2% ในขณะที่หุ้นขนาดใหญ่ในตลาดเกิดใหม่สร้างผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีเพียง 11.1%
  • การวิจัยของ Morningstar พบว่า หุ้นขนาดเล็กมีแนวโน้มที่จะสร้างผลตอบแทนที่สูงกว่าหุ้นขนาดใหญ่ในช่วงตลาดขาขึ้น

ตารางเปรียบเทียบหุ้นขนาดเล็กและหุ้นขนาดใหญ่

ลักษณะ หุ้นขนาดเล็ก หุ้นขนาดใหญ่
มูลค่าตามราคาตลาด > 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
อัตราการเติบโต สูงกว่า ต่ำกว่า
ความยืดหยุ่น สูงกว่า ต่ำกว่า
มูลค่า ถูกกว่า แพงกว่า
ศักยภาพในการสร้างผลตอบแทน สูงกว่า ต่ำกว่า

สิ่งที่นักลงทุนควรรู้

ก่อนลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก นักลงทุนควรรู้สิ่งต่อไปนี้

  • หุ้นขนาดเล็กมีความผันผวนมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่
  • ไม่ใช่หุ้นขนาดเล็กทุกตัวที่จะประสบความสำเร็จ
  • จำเป็นต้องวิจัยและทำความเข้าใจบริษัทอย่างรอบคอบก่อนลงทุน
  • กระจายการลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง

เรื่องราวที่สร้างแรงบันดาลใจ

เรื่องที่ 1: ต้นไม้เล็กเติบโตเป็นป่าใหญ่

บริษัทไบโอเทคโนโลยีขนาดเล็กแห่งหนึ่งชื่อว่า Biogen เริ่มต้นด้วยการมีมูลค่าเพียง 200 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 1988 แต่ในปัจจุบัน มีมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านเหรียญสหรัฐ Biogen เติบโตอย่างต่อเนื่องจากการพัฒนาและจำหน่ายยาสำหรับรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคปลอกประสาทเสื่อมและมะเร็ง เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าแม้บริษัทขนาดเล็กจะมีจุดเริ่มต้นที่เล็กน้อย แต่ก็สามารถเติบโตเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าหลายพันล้านเหรียญได้

เรื่องที่ 2: โอกาสในวิกฤต

ไซส์มินิแต่ไม่ธรรมดา

บริษัทเทคโนโลยีขนาดเล็กชื่อว่า Zoom Video Communications เติบโตอย่างก้าวกระโดดในช่วงการระบาดของโรคโควิด-19 โดยให้บริการการประชุมผ่านวิดีโอแก่บุคคลและธุรกิจในช่วงที่ต้องทำงานจากที่บ้าน Zoom มีมูลค่าเพิ่มขึ้นกว่า 700% ในปี 2020 เนื่องจากความต้องการบริการของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าวิกฤตสามารถเป็นโอกาสสำหรับบริษัทขนาดเล็กที่จะเติบโตได้อย่างรวดเร็ว

เรื่องที่ 3: ความสำคัญของการวิจัย

นักลงทุนรายหนึ่งตัดสินใจลงทุนในหุ้นขนาดเล็กหลังจากทำการวิจัยอย่างละเอียดเกี่ยวกับบริษัทนั้นอย่างรอบคอบ บริษัทนั้นเป็นผู้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ สำหรับอุตสาหกรรมการผลิต นักลงทุนศึกษาผลประกอบการของบริษัท ทีมงานการจัดการ และศักยภาพในตลาดอย่างถี่ถ้วน ผลลัพธ์ที่ได้คือ ผลตอบแทนที่สูงกว่า 300% ในช่วง 5 ปี เรื่องนี้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการวิจัยก่อนลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก

คำแนะนำทีละขั้นตอน

ขั้นตอนที่ 1: ทำความเข้าใจความเสี่ยง

ก่อนลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก นักลงทุนควรรู้จักความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง หุ้นขนาดเล็กมีความผันผวนมากกว่าหุ้นขนาดใหญ่ และไม่ใช่หุ้นขนาดเล็กทุกตัวที่จะประสบความสำเร็จ

ขั้นตอนที่ 2: วิจัยและคัดเลือกหุ้น

หนูใหญ่ ไซส์เอส: เล็กพริกขี้หนู เอ้ยน้อยแต่มาก!

ทำการวิจัยอย่างรอบคอบเกี่ยวกับหุ้นขนาดเล็กที่นักลงทุนสนใจ วิจัยผลประกอบการของบริษัท ทีมงานการจัดการ และศักยภาพในตลาด นักลงทุนอาจพิจารณาปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนเพื่อขอคำแนะนำ

ขั้นตอนที่ 3: กระจายการลงทุน

เพื่อลดความเสี่ยง นักลงทุนควรกระจายการลงทุนไปยังหุ้นขนาดเล็กหลายๆ ตัวแทนที่จะลงทุนในหุ้นตัวใดตัวหนึ่งเป็นจำนวนมาก

ขั้นตอนที่ 4: ตรวจสอบการลงทุนเป็นประจำ

ติดตามความคืบหน้าของหุ้นขนาดเล็กที่ลงทุนเป็นประจำ ตรวจสอบผลประกอบการของบริษัท ข่าวสารและกิจกรรมในอุตสาหกรรม และปัจจัยอื่นๆ ที่อาจส่งผลต่อราคาหุ้น

ข้อดีและข้อเสีย

ข้อดี

  • ศักยภาพในการเติบโตสูง
  • ความยืดหยุ่น
  • มูลค่าที่ถูกกว่า
  • โอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูง

ข้อเสีย

  • ความผันผวนสูง
  • ไม่ใช่หุ้นขนาดเล็กทุกตัวที่จะประสบความสำเร็จ
  • จำเป็นต้องทำการวิจัยอย่างรอบคอบ

คำถามที่พบบ่อย

1. ฉันควรลงทุนในหุ้นขนาดเล็กเมื่อไหร่

ควรลงทุนในหุ้นขนาดเล็กเมื่อนักลงทุนมีความอดทนในการรับความเสี่ยงสูง และเมื่อนักลงทุนมองหาโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่สูงในระยะยาว

2. ฉันควรลงทุนในหุ้นขนาดเล็กเท่าไหร่

จำนวนเงินลงทุนในหุ้นขนาดเล็กจะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ของนักลงทุน และสัดส่วนการลงทุนโดยรวมของนักลงทุน

3. มีกองทุนรวมหรือกองทุน ETF ใดที่ลงทุนในหุ้นขนาดเล็กหรือไม่

มีกองทุนรวมและกองทุน ETF หลายกองที่ลงทุนในหุ้นขนาดเล็ก นักลงทุนสามารถค้น

newthai   

TOP 10
Don't miss